ชนิดของแผลที่เกิดจากสิว และวิธีการรักษา

หัวข้อกระทู้ ใน 'คลังความรู้เรื่องความสวยความงามและสุขภาพ' เริ่มโพสต์โดย Number18, 10 พฤษภาคม 2015.

  1. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    แผลเป็นจากสิว
    หลังจากรักษาสิวหายแล้ว บางคนก็ได้หน้าใสๆ กลับคืนมา แต่บางคนอาจได้ร่องรอยที่เกิดจากการเป็นสิว ทำให้หน้าดูไม่เรียบเนียน เป็นรอยสิว มีทั้งแบบเป็นรอยแดง รอยดำ เป็นหลุมสิว รอยแผลเป็น (คีลอยด์) ซึ่งก็ต้องใช้เวลาในการรักษาแผลเป็น และรอยหลุมสิวเหล่านี้กันต่อไป


    หลุมสิวคืออะไร
    หลุมสิว คือแผลเป็น หรือร่องรอยจากการเป็นสิว เมื่อรักษาสิวหายแล้วเนื้อบริเวณที่เคยเป็นสิวจะยุบตัวกว่าผิวปกติ ทำให้เห็นเป็นรอยไม่เรียบเนียน ซึ่งรอยเหล่านี้ เกิดจากการอักเสบของสิว ที่เกิดเป็นหนองขึ้น จนคอลลาเจนบริเวณนั้นถูกทำลาย เกิดเป็นแผลเป็นใต้ผิวหนัง ที่เป็นพังผืดดึงรั้งจนผิวด้านบนมีลักษณะเหมือนหลุมขึ้นมา ซึ่งการเกิดหลุมสิวนี้อาจมาจากการบีบเค้นสิว จนเกิดทำให้สิวอักเสบมาก หรือเป็นสิวอักเสบรุนแรง รุกรามใหญ่โต เช่นเป็นสิวหัวช้าง สิวซีสต์ มักเป็นสิวที่ทิ้งรอยไว้

    เวลาเป็นสิวจึงควรรีบรักษา หายามาทา จัดการไปถึงต้นตอการเกิดสิว รวมถึงหาวิธีป้องกันไม่ให้เกิดสิวใหม่ด้วย


    รอยแผลเป็นจากสิวมีอะไรบ้าง
    ลักษณะของหลุมสิว หรือรอยแผลเป็นจากสิวที่ทิ้งไว้ สามารถแบ่งได้ตามลักษณะร่องรอย ได้แก่
    1. รอยแผลเป็นแบบหลุมแหลมลึก (Ice Pick Scars) เป็นรอยแผลเป็นที่รักษายากที่สุด เกิดจากการเป็นสิวอุดตัน เมื่อเราบีบหรือกดสิวออกไปแล้ว จะเกิดหลุมที่มีลักษณะคล้ายรูปกรวย ปากหลุมแคบ ปลายหลุมแหลม ด้านข้างจะชัน และลึก
    2. รอยแผลเป็นแบบเป็นกล่อง (Boxcar Scars) ลักษณะหลุมจะตื้นๆ แต่ปากหลุมกว้าง มีขอบตัดลงไป ทำให้มองเห็นได้ชัด เห็นเป็นรอยหลุมกว้าง (ขนาด 3-4 มิลลิเมตร) มักจะเกิดจากสิวอักเสบขนาดใหญ่ หรือรอยแผลเป็นอีสุกอีใส
    3. รอยแผลเป็นแบบแอ่งกระทะ (Rolling Scars) ร่องรอยมีลักษณะกว้าง และตื้น เกิดจากสิวอักเสบขนาดใหญ่ ที่เกิดการยุบตัวของผิว จะทำให้เห็นหน้าเป็นคลื่นๆ ดูไม่เรียบ
    4. รอยแผลเป็นแบบนูน (Hypertrophic Scars) เป็นรอยนูนแข็ง ผิวค่อนข้างเรียบ สีออกแดงๆ หรือชมพู มักจะพบแถวใต้คาง และลำตัวช่วงบน
    5. รอยแผลเป็นแบบคีลอยด์ (Keloid Scars) คล้ายรอยแผลเป็นแบบนูน แต่ขยายตัวเป็นวงกว้างมากกว่า


    วิธีการรักษาแผลเป็นจากสิว
    การรักษารอยสิว มีได้หลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีอาจให้ผลได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็น แต่ก็สามารถทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น เห็นได้ไม่ชัด หรือหน้าดูเรียบขึ้น บางครั้งต้องใช้ร่วมกันหลายวิธี ใช้เวลาในการรักษาอย่างต่อเนื่อง จึงจะเห็นผล

    1. ยากิน
    ยากินสำหรับช่วยให้ใบหน้าเรียบเนียน และช่วยในเรื่องรอยหลุมสิว คือยากลุ่ม Retinoids ซึ่งสกัดจากอนุพันธ์ของวิตามินเอ เช่นยาโรแอคคิวเทน (Roaccutane), ยาแอคโนทิน (Acnotin), ยาไอโซเทน (Isotane) ถึงแม้ยากลุ่มนี้จะเป็นยาที่อยู่ในข่ายค่อนข้างอันตรายและมีผลข้างเคียงสูง แต่ก็สามารถช่วยเรื่องสิวได้เป็นอย่างดี

    รีวิวการกินยารักษาสิว Roaccutane http://pantip.com/topic/31396842

    2. การทายาเพื่อผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peeling)
    - การทายากลุ่มวิตามินเอ
    เป็นการใช้วิตามินเอที่มีความเข้มข้นสูง เช่น Retin-A 0.05-1% มาทาหน้า โดยใช้เครื่องไอออนโตช่วยผลักยาให้แทรกซึมสู่ใต้ผิวหนัง ได้ลึกกว่าการทาปกติ ซึ่งกรดวิตามินเอจะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ ทำให้รอยหลุมสิวตื้นขึ้น เหมาะกับการรักษาหลุมสิวตื้นๆ

    - การจี้ด้วยกรด
    การจี้ด้วยกรด ยังเป็นวิธีที่บางคลินิกใช้ในการรักษาหลุมสิว การรักษาจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้เวลารักษาอย่างต่อเนื่อง โดยแพทย์จะแต้มกรดกรดเข้มข้นบนใบหน้า เช่น
    กรดไครคอลโรอซิติก (Trichloroacetic Acid, TCA) ที่ความเข้มข้น 30-50 % ใช้ลอกหน้าชนิดลึกปานกลาง

    กรดแอลฟาไฮดรอกซี (Alpha Hydroxy Acid, AHA) หรือที่รู้จักกันว่าเป็นกรดผลไม้ ที่ความเข้มข้น 50-70 %

    บริเวณที่แต้มกรดจะมีการเร่งการผลัดเซลล์ผิว เกิดเป็นสะเก็ดหลุดลอกไป เซลล์ผิวใหม่ดันตัวขึ้นมาบริเวณรอยหลุม สามารถใช้รักษา ได้กับรอยแผลแบบหลุม Ice Pick Scars, Boxcar Scars และ Rolling Scars

    ข้อแนะนำ
    - สำหรับคนที่คุณหมอให้กรด TCA กลับมาทาที่บ้าน ควรใช้ความระมัดระวังในการใช้ด้วย อย่าใช้บริเวณรอบดวงตา ซอกจมูก รอบริมฝีปาก เพราะเป็นส่วนที่บอบบางบนใบหน้า
    - บางคนอาจมีการแพ้การรักษาแบบแต้มกรดลดหลุมสิวได้
    - สำหรับคนที่หาซื้อกรด TCA มาใช้ในการลอกหน้าเองที่บ้าน ควรศึกษาหาความรู้อย่างละเอียด ในเรื่อการใช้กรด TCA ก่อนทดลองใช้จริง หากเริ่มใช้ควรเริ่มที่ความเข้มข้นต่ำๆ เช่น 10-15% และจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษอีกด้วย

    รีวิวการลอกหน้าด้วยตัวเอง http://www.jeban.com/viewtopic.php?t=166799
    ตัวอย่างการลอกหน้าด้วย TCA ด้วยตัวเอง



    3. การกรอผิว
    -การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี (Microdermabrasion)
    คือการใช้ผนึกคริสตัลที่มีขนาดเล็กมาก เช่นผงอะลูมิเนียมออกไซด์ โดยพ่นผ่านเครื่องปั๊มในกระบอกสูญญากาศ โดยกรอบางๆ ไปตามใบหน้า เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อใหม่

    การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี เหมาะกับการลบรอยแผลเป็น หรือรอยสักที่เกิดที่ผิวชั้นนอก ช่วยรักษารอยหลุมสิว ทั้งแบบ Ice Pick Scars, Boxcar Scars และ Rolling Scars เพื่อให้เห็นผลได้ดี จะต้องทำ 6-10 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 1-2 สัปดาห์

    รีวิวการกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี



    4. การทำให้เกิดรอยแผลโดยใช้เข็ม (Needle Therapy)

    - การทำเดอร์มา
    การทำเดอร์มาเป็นการใช้เข็มเล็กๆ เจาะเข้าไปที่ผิวหนัง ในความลึกที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ ปัจจุบันแม้ว่าตามคลินิกต่างๆ จะไม่นิยมใช้กันแล้ว แต่ก็ถือเป็นวิธีรักษาหลุมสิว และแผลเป็นที่ได้ผลดี วิธีหนึ่ง

    เดอร์มาโรลเลอร์ (Dermaroller)
    การทำเดอร์มาโรลเลอร์ หรือการใช้ลูกกลิ้งหนาม เป็นการใช้อุปกรณ์ลูกกลิ้งที่มีเข็มเล็กๆ จำนวนมากติดอยู่ ใช้กลิ้งให้ทั่วใบหน้า หรือบริเวณที่ต้องการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ เพื่อให้สิวดูตื้นขึ้น ซึ่งวิธีนี้สามารถใช้ได้กับหลุมสิวลึกด้วย

    ตัวอย่างการทำเดอร์มาโรลเลอร์


    เดอร์มาแสตมป์ (Derma Stamp)
    เดอร์มาแสตมป์ เป็นอุปกรณ์ที่เหมือนตัวปั๊ม ตรงแป้นมีหนามแหลม จะมีหลักการเหมือนกับการทำเดอร์มาโรลเลอร์ แต่แทนที่จะกลิ้งไปตามใบหน้า ก็ใช้วิธีปั๊มเป็นจุดๆ ให้ทั่ว เพื่อให้เกิดการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่จากใต้ผิวหนัง

    รีวิวการทำเดอร์มาแสตมป์



    เดอร์มาพ้อยท์ (Derma Point) /เดอร์มา รีจู (Derma Reju)
    เป็นการรักษาหลุมสิวแบบเป็นใช้เข็มทำให้เกิดรอยแผลเช่นเดียวกัน แต่เป็นการใช้อุปกรณ์ที่ดูทันสมัยกว่า โดยหัวเครื่องมือเดอร์มามีลักษณะเหมือนกระจุกเข็ม เครื่องจะสั่นให้เข็มทิ่มขี้นลงเองในความถี่สูง ใช้กลิ้งวนไปมาที่หน้า สามารถเก็บรายละเอียดได้มากกว่าตัวเดอร์มาโรลเลอร์ และสามารถตั้งค่่าความลึกของเข็มได้ ซึ่งการทำเดอร์มา รีจู จะมีการเปลี่ยนหัวเข็มเป็นแบบของใครของมัน

    ค่าใช้จ่ายในการทำเดอร์มาพ้อยท์แบบทั่วหน้า ประมาณ 3,000-4,000 บาท/ครั้ง (มีราคาที่เหมาเป็นคอร์ส หรือรวมกับคอร์สรักษาอื่นๆ ด้วย)

    รีวิวการทำเดอร์มาพ้อยท์


    รีวิวการทำเดอร์มา รีจู http://topicstock.pantip.com/woman/topicstock/2012/06/Q12250091/Q12250091.html

    ข้อแนะนำ
    - การทำเดอร์มาโรลเลอร์ ปัจจุบันไม่ค่อยเป็นที่นิยม เพราะดูเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่ากลัว ยุ่งยาก
    - การทำเดอร์มาโรลเลอร์ อาจทำให้ใบหน้าบวมแดง เกิดบาดแผล มีเลือดซึม ต้องใช้เวลาในการพักฟื้น 5-7 วัน
    - ก่อนทำเดอร์มาแต่ละประเภท จะมีการทายาชาทิ้งไว้ประมาณ 30-45 นาที หลังจากนั้นเช็ดออก แล้วจึงทำเดอร์มา ระหว่างทำอาจมีครีมบำรุง หรือเซรั่มบำรุงผิว ทาเพื่อให้ยาลงไปบำรุงถึงผิวชั้นล่างด้วย
    - หลังทำเดอร์มา ภายใน 3 ชั่วโมง ไม่ควรล้างหน้า หลังจากนั้นให้ล้างด้วยน้ำเปล่า และใช้ยาล้างหน้าชนิดอ่อนโยน ไม่มีแอลกอฮอล์
    - คุณหมออาจให้ยากิน และยาทาบำรุงมาให้ด้วย
    - หลังทำเดอร์มา ไม่ควรแต่งหน้าภายใน 24 ชั่วโมง
    - หลังทำเดอร์มา ควรหลีกเลี่ยงแดด โดยเฉพาะในช่วง 1-3 วันแรก ถ้าโดนแดดอาจทำให้ผิวหนังคล้ำขึ้นได้ โดยเฉพาะกับคนที่ผิวคล้ำง่าย
    - หลังทำเดอร์มา ควรใช้มอยเจอร์ไรเซอร์แบบไม่ผสม ไวเทนนิ่ง หรือวิตามินซี
    - เมื่อหน้าเริ่มลอก เป็นขุย หรือคัน ไม่ควรจับ แกะ เกา ขัดหน้า ควรให้แผลและขุยได้หลุดออกไปเองตามธรรมชาติ
    - การทำเดอร์มาในแบบต่างๆ อาจต้องทำหลายครั้งถึงจะเห็นผลได้ดี
    - สำหรับคนที่ซื้ออุปกรณ์เดอร์มาโรลเลอร์ หรือเดอร์มาแสตมป์ มาใช้เองที่บ้าน ควรต้องศึกษาขั้นตอนการทำ การใช้ตัวบำรุง การดูแลรักษาความสะอาดเป็นพิเศษ และควรระวังเรื่องการการติดเชื้อด้วย

    อุปกรณ์เดอร์มาโรลเลอร์ ราคาประมาณอันละ 600 - 1000 บาท (ใช้ได้ 3-4 ครั้ง)

    การทำเดอร์มาโรลเลอร์เอง
    https://www.youtube.com/watch?v=JoOeOXn_2Yo

    การทำเดอร์มาโรลเลอร์เองที่บ้าน
    https://www.youtube.com/watch?v=ou6iAktw0
    Last edited: 10 พฤษภาคม 2015
  2. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    - การทำสับซิชั่น (Subcision)
    การ ทำสับซิชั่น ก็เป็นการรักษาหลุมสิวอีกวิธีหนึ่งที่ยังคงใช้กันอยู่ หากใครไปหาหมอสิวแล้วได้ยินคำว่าต้องทำสับซิชั่น นั่นหมายถึงคุณหมอจะทำการรักษาหลุมสิว โดยใช้เข็มสอดเข้าไปตัดใต้หลุมสิวเพื่อสะกิดตัดพังผืดที่รั้งบริเวณหลุมเอา ไว้ เมื่อผิวซ่อมแซมแผลแล้วก็จะเติมเต็มให้หลุมตื้นขึ้น การทำสับซิชั่นจึงไม่สามารถทำได้เองที่บ้าน และเข็มที่ใช้ต้องเป็นเข็มพิเศษที่ใช้กับการทำสับซิชั่นเท่านั้น โดยที่ปลายเข็มจะมีใบมีดอยู่ (เรียกว่าเข็มแบบ Nokor Needle)

    ข้อแนะนำ
    - การทำสับซิชั่น อาจจะดูน่ากลัวอยู่บ้าง แต่คลินิกบางแห่งก็ยังใช้วิธีนี้อยู่ ซึ่งอาจใช้ร่วมกับการทำเลเซอร์บางชนิด เช่น
    - การทำสับซิชั่น ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ผู้ชำนาญเท่านั้น
    - การทำสับซิชั่น เป็นการตัดชั้นใต้ผิวหนัง จึงไม่มีรอยที่ผิวหน้า ไม่เป็นบาดแผล ไม่มีการเย็บแผล
    - ขณะทำจะมีการทาหรือฉีดยาชาก่อน

    รีวิวการทำสับซิชั่น



    5. การใช้เลเซอร์ (Fractional Laser Resurfacing)
    การ ใช้เลเซอร์ในการรักษารอยแผลเป็นจากสิวกำลังเป็นที่นิยม เพราะได้ผลค่อนข้างเร็วกว่าวิธีอื่น ซึ่งการใช้เทคโนโลยีแต่ละตัวก็ให้ผลแตกต่างกัน เช่น การใช้วีบีม (V-Beam) เป็นการรักษารอยแดงจากสิว การทำแฟลกเซล (Fraxel) เป็นการรักษาหลุมสิว เป็นต้น ซึ่งการเลือกใช้วิธีใดนั้น อาจต้องให้แพทย์ทางด้านผิวหนังเป็นผู้พิจารณา ตรวจดูสภาพผิว และร่องรอยต่างๆ เพื่อใช้เครื่องมือการรักษาที่เหมาะสม

    ข้อแนะนำ
    - การใช้เลเซอร์ในการรักษาหลุมสิว เป็นวิธีที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการดูแลรักษาวิธีอื่นๆ แต่ก็เป็นวิธีที่เห็นผลได้ค่อนข้างเร็ว
    - การรักษาด้วยเลเซอร์ เพื่อให้ได้ผลดี อาจต้องทำต่อเนื่องหลายครั้ง
    - หลังการเลเซอร์อาจทำให้ผิวหน้าบาง และไวต่อแสง ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด และใช้ครีมกันแดดทุกครั้ง


    6. การฉีดยา
    เป็น การฉีดสารสังเคราะห์เข้าไปในรอยแผล เพื่อให้รอยแผลตื้นขึ้นเช่น การทำเมโส (Meso Therapy) เป็นการผลักยาให้เข้าสู่ชั้นผิวหนังด้วยการฉีด ยาที่ฉีดเข้าไปใต้ผิวหน้าเรา จะเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อผิว เช่นพวกกรดวิตามินเอ วิตามินซี สารแอนตี้ออกซิแดนซ์ สารเหล่านี้จะเข้าไปช่วยฟื้นฟู และกระตุ้นให้ผิวเราเรียบเนียน ลดรอยสิว กระชับรูขุมขน หากทำติดต่อกันก็สามารถช่วยลดจุดด่างดำ ให้จางลงได้

    วิตามินที่ใช้ในการทำเมโส เช่นวิตามินซี วิตามินบี 3 เป็นต้น

    ขั้นตอนการทำเมโส
    - ล้างทำความสะอาดผิวหน้า
    - ทายาชาที่หน้า อาจต้องแรบด้วยพลาสติก ทิ้งไว้ประมาณ 45 นาที - 1 ชั่วโมง
    - หมอจะนำเข็มใส่วิตามินที่ต้องการฉีด ฉีดให้ทั่วผิวหน้า (โดยใช้เข็มที่มีความลึกต่างกัน เช่น 0.25, 0.25, 0.75 มิลลิเมตร เป็นต้น)

    การดูแลหลังการรักษา
    เป็น การทำหลายขั้นตอนในเวลาเดียวกัน คือการกรอผิวด้วยผงคริสตัล (Microdemabrasion) เหมือนการทาด้วยกรดผลไม้ (ทำ AHA BHA) ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า กระตุ้นให้สร้างเซลล์ผิวใหม่

    เหมาะกับคนมีปัญหาเรื่องสิวเสี้ยน รูขุมขนกว้าง ต้องการบำรุงผิวหน้า ช่วยเรื่องกระ ฝ้า หน้าใสขึ้น

    ค่าใช้จ่ายในการทำเมโส ประมาณ 3,000 บาท/ครั้ง


    ข้อดี - ข้อเสีย
    - เวลาฉีดอาจรู้สึกแสบๆ บ้าง
    - อาจต้องทำการฉีดอย่างต่อเนื่อง

    รีวิวทำเมโสหน้าใส



    7. ใช้แผ่นซับสิว
    แผ่นซับสิว ก็เป็นการรักษาสิวแบบง่ายๆ อีกวิธีหนึ่ง ใช้สำหรับจัดการกับสิวจำนวนไม่มาก แผ่นซับจะทำให้หัวสิวหลุดออกมาง่ายขึ้น
    แผ่น ซับสิว มีลักษณะเป็นเหมือนเจลวงกลมๆ สีขุ่นๆ หนึ่งซองมีเจลกลมๆ อยู่หลายชิ้น หลายขนาด สิวที่เหมาะกับการใช้แผ่นซับ เป็นสิวประเภทสิวหัวดำ และสิวหัวขาว แปะแล้วจะทำให้หัวสิวหลุดออกมา แต่ถ้าหากเป็นสิวอักเสบ ที่มีการบวมแดง ควรปรึกษาแพทย์

    ราคาแผ่นซับสิว 3เอ็ม เน็กซ์แคร์ ราคากล่องละ 95-120 บาท

    ขั้นตอนการใช้แผ่นซับสิว
    - ก่อนแปะสิวด้วยแผ่นแปะ ต้องทำความสะอาดใบหน้า และรอบๆ สิวก่อน
    - จากนั้นก็หาแผ่นซับผิวที่มีขนาดเหมาะกับขนาดสิวที่จะปิด ลอกตัวซับมาปิดที่หัวสิว โดยให้หัวสิวอยู่ตรงกลางแผ่น แผ่นซับสิวจะช่วยดูดสิวและของเหลวใต้ผิวหนังออกมา
    - ถ้าใช้กับสิวสุกจะใช้เข็มเขี่ยและกดหัวสิวก่อนแปะแผ่นซับ หรือหากสิวยังไม่สุกดี ก็สามารถใช้เข็มสะกิดหัวสิว แล้วใช้แผ่นซับสิวแปะไว้ คืนนึง

    ข้อแนะนำ
    - การใช้แผ่นซับสิว ไม่ใช่การรักษาสิวที่ต้นเหตุ เป็นเพียงการแก้ปัญหาการเกิดสิว หลังจากใช้แผ่นซับแล้ว ควรรักษาที่ต้นเหตุของสิวด้วย
    - แผ่นซับผิวแต่ละวงสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว เมื่อใช้แล้วควรทิ้ง หากต้องการแปะอีก ควรใช้แผ่นใหม่

    วิวการใช้แผ่นซับสิว 3 เอ็ม http://www.jeban.com/viewtopic.php?t=99611
    รีวิวการใช้แผ่นซับสิว 3 เอ็ม http://www.jeban.com/viewtopic.php?t=159248

แบ่งปันหน้านี้