วิธีการป้องกันการเกิดสิว ทำยังไงได้บ้าง มาดูกัน

หัวข้อกระทู้ ใน 'คลังความรู้เรื่องความสวยความงามและสุขภาพ' เริ่มโพสต์โดย Number18, 10 พฤษภาคม 2015.

  1. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    วิธีการป้องกันการเกิดสิว

    การป้องกันการเกิดสิว
    สำหรับคนที่เป็นสิวง่าย อาจจะต้องดูแลตัวเองมากกว่าคนอื่น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิว ซึ่งการป้องกันนั้นอาจจะต้องทำในหลายๆ ด้านประกอบกัน

    1. การดูแลสุขภาพ
    - ควรขับถ่ายทุกวันอย่าให้ท้องผูก
    - ไม่นอนดึกเกิน 4 - 5 ทุ่ม
    - ควรออกกำลังกายบ้าง เพื่อให้เหงื่อช่วยผลักสิ่งสกปรกออกจากรูขุมขุน
    - กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพผิว เช่นผักผลไม้ ไม่กินของมัน ของหวาน แอลกอฮอล์

    2. การรักษาความสะอาด
    - สระผมทุกวัน เพื่อไม่ให้สิ่งสกปรกหรือความมันจากผมมาทำให้เกิดสิว
    - ควรล้างมือให้สะอาด ก่อนที่จะแตะจับหน้า และไม่ควรจับ เกา หรือเอามือไปโดนหน้าบ่อยๆ
    - ควรทำความสะอาดที่นอน ปลอกหมอน อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อไม่ให้เกิดการสะสมฝุ่น ซึ่งเมื่อมาผสมกับไขมันบนใบหน้า อาจทำให้เกิดเป็นสิวอุดตันด้วย
    - หากหน้ามันในระหว่างวัน ควรใช้เป็นกระดาษซับมันซับหน้าแทนการล้างหน้า แต่ก็ไม่ควรใช้บ่อยจนเกินไป
    - การล้างหน้า ไม่ควรทำบ่อยเกินไป แค่วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ก็พอ และเวลาล้างหน้าก็ควรล้างอย่างเบามือ หรือล้างตามแนวเส้นขน ที่ช่วยป้องกันการเกิดสิวได้

    การล้างหน้าตามแนวโพรงขน
    1. บริเวณหน้าผาก ให้ล้างจากกลางหน้าผากออกไปด้านข้าง
    2. บริเวณแก้ม 2 ข้าง ให้ล้างลง (ไม่วนเป็นวงกลม)
    3. บริเวณจมูก ให้ล้างจากดั้งจมูกลงมาปลายจมูก
    4. บริเวณเหนือริมฝีปาก ให้ล้างจากปากรูจมูกลงมาเหนือริมฝีปากบน
    5. บริเวณคาง ให้ล้างจากริมฝีปากล่าง ลงมาที่ปลายคาง

    คลิปการล้างหน้าตามแนวขน จากยูทูป



    3. ไม่รบกวนผิวหน้า
    - ไม่ขัด นวด บีบ จับหน้า บ่อยจนเกินไป หลังทำความสะอาดหน้าไม่ควรเช็ดหน้าอย่างรุนแรง ควรใช้ผ้าขนหนูที่สะอาดซับเพียงเบาๆ หรือใช้กระดาษเช็ดหน้าซับหน้าซับน้ำให้แห้ง


    4. ไม่ใช้เครื่องสำอางที่เหมาะสมกับผิวหน้า
    ไม่ลองครีมหรือยาที่มีสรรพคุณเกินจริง หากรู้สึกว่าเกิดการแพ้ยา หรือเครื่องสำอางตัวไหนให้หยุดใช้ทันที

    ตัวอย่างการรักษาสิวเอง http://pantip.com/topic/30633288



    โรคผิวหนังที่มีการเกิดสิวร่วมด้วย
    นอกจากการเกิดสิวในแบบทั่วๆ ไปแล้ว โรคผิวหนังบางอย่างก็มีการเกิดสิวร่วมด้วย ซึ่งการรักษาก็จะแตกต่างจากการรักษาสิวแบบธรรมดา

    1. สิวสเตียรอยด์
    สิวสเตียรอยด์ เป็นภาวะที่ผิวติดสเตียรอยด์ หรือผิวอยากยาสเตียรอยด์ เมื่อไม่ได้ใช้ยาที่มีสารสเตียรอยด์อีก จึงทำให้ผิวหน้าเกิดเป็นสิวเห่อขึ้นมา ผิวหน้าบางลง แพ้ง่าย พอเกิดสิว ก็รักษาไม่ค่อยหาย หรือเป็นๆ หายๆ เพราะสารสเตียรอยด์ที่เคยใช้ไปเปลี่ยนให้ผิวหน้าทำงานผิดปกติไปซะแล้ว

    ตัวอย่างจากคนเป็นสิวสเตียรอยด์ http://pantip.com/topic/30741865

    รีวิวการเกิดหน้าติดยาสเตียรอยด์ http://topicstock.pantip.com/woman/topicstock/2010/04/Q9107400/Q9107400.html

    สาเหตุของการเกิดสิวสเตียรอยด์

    1. เกิดจากการใช้เครื่องสำอางที่ผสมสารสเตียรอยด์
    สำหรับคนที่ชอบทดลองใช้เครื่องสำอางค์ ครีมบำรุงผิว ครีมหน้าขาว ที่ขายกันตามอินเตอร์เน็ต ออนไลน์ หรือที่มักจะมีโฆษณาว่าเห็นผลได้เร็ว ผลิตภัณฑ์บางตัวมีสารสเตีียรอยด์ผสมอยู่ เวลาใช้จึงทำให้เห็นผลทันที ผิวหน้าดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้หน้าขาว ใส เนียน เรียบ ดูดี มีออร่าขึ้นมาในเวลาอันรวดเร็ว แต่พอหยุดใช้ผลิตภัณฑ์นั้นไป ใบหน้ากลับแย่ลง มีสิวเห่อขึ้นมา แม้จะไปรักษาสิว ก็มักจะหายช้า หน้าบาง โดนแดดแล้วแสบร้อน

    2. เกิดจากการรักษาสิวติดต่อกันเป็นเวลานาน
    ในกระบวนการรักษาสิวที่คลินิก หรือสถานความงามบางแห่ง จะให้ยาที่มีสารสเตียรอยด์ เพื่อช่วยระงับสิวในเบื้องต้น โดยแพทย์จะควบคุมการใช้งานของยาในปริมาณ และเวลาที่จำกัด จนกระทั่งสิวหาย และเมื่อกลับมาเป็นสิวอีก ก็จะต้องเริ่มรักษากันใหม่ ซึ่งการใช้ยาประเภทสเตียรอยด์บ่อยๆ ก็สามารถทำให้ ผิวติดการใช้สารสเตียรอยด์ได้เช่น ยา TA Cream 0.02%

    TA Cream คือยาทาที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ในระดับความแรงน้อย ใช้สำหรับผื่นแพ้ที่ผิวหนัง ผดผื่นแดง หรือผื่นแพ้สัมผัส ควรทาเฉพาะบริเวณที่เป็นผื่น และไม่ควรใช้ติดต่อกันนานเกินกว่า 1 สัปดาห์ เมื่อหายแล้วให้หยุดใช้ หรือใช้ตามคำแนะนำของแพทย์

    พูดคุยเรื่องการใช้ยา TA Cream 0.02% http://pantip.com/topic/32103442
    พูดคุยเรื่องการใช้ยา TA Cream 0.02% http://www.jeban.com/viewtopic.php?t=113213

    3. เกิดจากการฉีดสิว
    บางคนเป็นสิวอักเสบ ทนดูหน้าตัวเองไม่ได้ ต้องรีบไปให้หมอฉีดสิว หรือเวลาเราเป็นสิวเม็ดใหญ่ สิวไม่มีหัว สิวหัวช้าง สิวอักเสบที่บวมแดง ใหญ่ ข้างในเป็นหนอง รักษายาก และใช้เวลานาน ก็มักจะให้หมอฉีดสิวให้ ซึ่งจริงๆ แล้ว การฉีดสิวก็เป็นการรักษาสิววิธีหนึ่ง แต่ไม่ค่อยจะถูกขั้นตอนนัก เพราะเป็นการปลายเหตุมากกว่า ยาที่ฉีดเข้าไปในสิว จะช่วยระงับการอักเสบของสิว และให้สิวยุบเร็ว ยาที่ใช้เป็นยาจำพวกสารสเตียรอยด์ ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ ลดอาการบวมแดง และหยุดการทำงานของเชื้อแบคทีเรียข้างใน ไม่ให้เจริญเติบโต ซึ่งเรามักจะคิดว่า เมื่อหมอฉีดสิวแล้ว สิวจะหายขาด ไม่ต้องทำอะไรอีก แต่ในที่สุด วันหนึ่งสิวก็จะกลับมาขึ้นได้อีก เพราะยาที่ฉีดเข้าไปในสิว ไม่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และไม่ได้ช่วยลดการติดเชื้อได้ หากคนที่ไปฉีดสิว หลังจากฉีดสิวแล้ว ควรทายาฆ่าเชื้อ และทำการรักษาสิวให้หายขาดด้วย ไม่เช่นนั้นสิวก็จะกลับมา จะกลายเป็นสิวแบบรักษาไม่หาย ทำให้ใต้ผิวหนังเป็นพังผืด เป็นไตแข็งๆ และเกิดเป็นหลุมสิว หรือคนที่ไปให้หมอฉีดสิวให้บ่อยๆ ก็อาจทำให้ผิวติดสารสเตียรอยด์จากยาฉีดสิวได้

    ค่าใช้จ่ายในการฉีดสิว ราคาประมาณเม็ดละ 100 บาท (หมอมักจะฉีดให้เฉพาะสิวอักเสบ)

    ความคิดเห็นในการฉีดสิว http://pantip.com/topic/30719085

    ข้อแนะนำในการเลือกใช้ยา ครีมบำรุงผิว เครื่องสำอาง
    * ควรซื้อผลิตภัณฑ์จากร้านขายยาที่มีเภสัชกรแนะนำ หรือจากร้านที่เชื่อถือได้ ไม่ซื้อครีมแบ่งขาย ที่ไม่ระบุส่วนผสม ผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาสรรพคุณเกินจริง สินค้าตามสื่อออนไลน์ และสินค้าราคาถูกตามตลาดนัดทั่วๆ ไป เพราะอาจเป็นของปลอม หรือเป็นครีมที่ผสมสารสเตียรอยด์ได้
    * เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่น่าเชื่อถือ มีฉลากที่บอกถึงส่วนผสม ระบุข้อมูลของผลิตภัณฑ์ และผลข้างเคียงของการใช้ยาไว้ที่บรรจุภัณฑ์
    * ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ควรศึกษาส่วนผสม รวมถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ไม่ควรเลือกใช้ตามคำแนะนำของคนอื่น เพราะผิวหน้าของแต่ละคนมีสภาพผิวที่ไม่เหมือนกัน ควรศึกษาหาข้อมูลของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ด้วยตัวเองให้ดีเสียก่อน
    * ก่อนนำผลิตภัณฑ์มาใช้กับผิวหน้า ควรนำมาทดสอบที่ท้องแขนวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 1 สัปดาห์ เพื่อทดสอบให้แน่ใจก่อนว่า เมื่อทาแล้วจะไม่เกิดการแพ้
    * สำหรับคนที่ซื้อผลิตภัณฑ์มาใช้กับหน้าเลยโดยไม่มีการทดสอบการแพ้ ควรใช้ในปริมาณน้อยๆ ก่อน หรือใช้บริเวณด้านข้างของใบหน้า
    * สำหรับคนที่ซื้อผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิวหน้ามาแล้วไม่แน่ใจว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีสารสเตียรอยด์ หรือสารปรอทหรือไม่ ก็สามารถซื้อชุดตรวจจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และชุดตรวจสอบเครื่องสำอางจากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล (Mercury Test Kit) มาทดสอบกันได้

    การใช้ชุดตรวจหาสารสเตียรอยด์



    การแพ้เครื่องสำอางเกิดขึ้นได้อย่างไร
    การแพ้เครื่องสำอาง เป็นการเกิดปฏิกิริยาเมื่อผิวหนังสัมผัสกับสารเคมีที่แพ้ (Contact Dermatitis) ระบบภูมิคุ้มกันโรคในร่างกายเรา จะเข้าใจว่าร่างกายกำลังถูกโจมตีด้วยสิ่งผิดปกติ จึงปล่อยสารออกมาเพื่อต่อสู้กับผู้บุกรุก เช่นสารฮิสตามีน (Histamine) ซึ่งสารตัวนี้จะทำให้เกิดผื่น และคัน ถ้าเป็นในขั้นรุนแรง ก็จะไปกระตุ้นกล้ามเนื้อปอด และหลอดลม ให้เกิดหอบหืด หายใจลำบาก ภาวะความดันต่ำ

    ในทางการแพทย์ แพทย์จะตรวจดูระดับการแพ้ และอาจจะต้องให้ยาที่ลดภูมิต้านทานของร่างกายลง ซึ่งยาที่ใช้ในการรักษาอาการอักเสบของผิวหนังส่วนใหญ่เป็น hydrocortisone cream ซึ่งเป็นสเตียรอยด์อ่อนๆ ซึ่งแพทย์จะควบคุมระดับการใช้ และระยะเวลาในการใช้เพื่อไม่ให้เกิดผลในระยะยาว จากนั้นอาจจะต้องให้กินยาแก้แพ้ (Antihistamine) เพื่อลดสารฮีสตามีนในร่างกายลง

    เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ที่มีโอกาสทำให้เกิดสิว หรือเกิดการแพ้
    - น้ำหอมที่ผสมอยู่ในเครื่องสำอาง
    - ครีมหน้าขาว ผิวขาว ครีมแก้สิว-ฝ้า
    - น้ำยายืดผม ดัดผม ย้อมผม
    - มาร์คหน้า

    อาการแพ้เครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์ความงาม
    อาการแพ้อาจเกิดขึ้นได้ในลักษณะมากหรือน้อยที่ไม่เหมือนกันในแต่ละคน และสำหรับบางคนอาจเกิดหลังจากที่ใช้เครื่องสำอางตัวนั้นไประยะนึงแล้ว ลักษณะอาการแพ้ที่พบส่วนใหญ่คือ ผิวเกิดการระคายเคือง คัน แสบร้อน บวมแดง เกิดผื่นคัน ผื่นแดง ผื่นดำเป็นปื้นๆ ผิวไหม้ ผิวเป็นตุ่มแดง ตุ่มมีน้ำใสข้างใน เป็นสิวอักเสบ สิวอุดตัน สิวผด หรือ ผิวแห้ง ผิวลอกเป็นขุย

    อาการแพ้เครื่องสำอาง จะคัน แสบ แดง อาจขึ้นผื่น มีตุ่มใส หรือลอกเป็นขุย สามารถรักษาด้วยการทายาแก้แพ้ 2-3 วัน ก็จะอาการดีขึ้น

    หากเป็นสิวสเตียรอยด์ ตอนใช้ยา หรือครีมที่ไม่ได้ระบุส่วนผสม หรือไม่มี อย. ตอนใช้สวยใส ดีมากๆ พอหยุดใช้แล้วสิวเต็มหน้า อักเสบง่าย แดงง่าย ถึงจะทายาแก้แพ้ก็ไม่หาย


    วิธีป้องกัน และดูแลรักษา
    - ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ความงาม ครีมบำรุงผิว หรือเครื่องสำอางตามตลาดนัด ซื้อจากอินเตอร์เน็ต หรือทางโซเชียลมีเดีย ที่มีการโฆษณาสรรพคุณเกินจริง ว่าสามารถทำให้ใบหน้าขาวสวย ดูดีขึ้นได้ ในเวลาอันรวดเร็ว
    - ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ความงามตามคำแนะนำ บอกต่อ เพราะผิวหน้าแต่ละคนมีสภาพผิวไม่เหมือนกัน
    - ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ความงามทุกชนิด ควรทดสอบการแพ้ โดยทายาไว้บริเวณท้องแขนด้านใน ทดสอบวันละ 2 ครั้ง ซึ่งต้องอาจใช้เวลาทดสอบประมาณ 1 อาทิตย์ ก่อนใช้กับใบหน้า แต่ส่วนใหญ่ คนเรามักจะทนรอไม่ไหว จึงมักจะใช้กับใบหน้าเลย โดยไม่ทดสอบการแพ้ หากต้องการใช้ยาบนใบหน้าเลย ควรทาในปริมาณที่น้อยก่อน
    - หากใช้ผลิตภัณฑ์ความงามแล้วคิดว่ามีสารสเตียรอยด์ผสมอยู่ อย่าเพิ่งหยุดใช้ทันที ให้ค่อยๆ ลดปริมาณการใช้ลง เช่นจากใช้เช้าเย็น ลดลงเหลือเฉพาะตอนเย็น จากทาทุกวัน ค่อยๆ ลดความถี่ลง จนเลิกใช้

    ข้อควรปฏิบัติเมื่อเกิดการแพ้เครื่องสำอาง
    - เมื่อเริ่มใช้เครื่องสำอางตัวใหม่ๆ แล้วสงสัยว่าจะแพ้ ให้หยุดใช้ตัวนั้นก่อนเลยทันที ถ้าอาการดีขึ้น ก็น่าจะเกิดจากการใช้เครื่องสำอางตัวใหม่นั้น หากเกิดการแพ้มากๆ เช่นหน้ามีสิวเห่อ เป็นผื่นแดง เป็นสิวผด ให้หยุดใช้เครื่องสำอางอื่นๆ ที่ใช้อยู่ทุกชนิดไว้ก่อนด้วย เพื่อให้หน้าได้พัก แล้วควรไปรีบไปพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อรักษาอาการแพ้ทางผิวหนังให้หายก่อน แล้วค่อยกลับมาใช้เครื่องสำอางได้เหมือนเดิม แต่ตัวที่แพ้นั้น ก็ต้องหยุดใช้ไปเลย
    - ช่วงที่เกิดอาการแพ้ (อาจเกิดอาการคัน แสบ บวม แดง เป็นผด ผื่นหรือสิว) ไม่ควรจับ บีบ กด ลูบ หรือสัมผัสหน้าบ่อยๆ การล้างหน้าอาจล้างด้วยน้ำเปล่าระยะนึงก่อน หรือหากใช้โฟมล้างหน้า ควรใช้แบบที่อ่อนโยนต่อผิวมากที่สุด
    - ช่วงที่เกิดการแพ้ ไม่ควรใช้สครับ การขัดหน้า หรือมาร์คหน้า
    - อย่าเพิ่งเชื่อ หรือไปทดลองใช้ ผลิตภัณฑ์ยาชุด หรือครีมต่างๆ ที่โฆษณาตามเว็บไซด์ หรือโซเชียลเน็ตเวิคร์ต่างๆ ว่าจะช่วยให้หายจากการแพ้เครื่องสำอางได้

    รีวิว การดูแลหน้าเมื่อแพ้เครื่องสำอาง


    รีวิว ตัวอย่างการใช้ยาเมื่อแพ้เครื่องสำอางแอลกอฮอล์ http://www.jeban.com/viewtopic.php?t=123056
  2. Number18

    Number18 Moderator Staff Member

    2. เซ็บเดิร์ม (Sebderm)
    เซ็บ เดิร์ม ย่อมาจาก Seborrheic Dermatitis เป็นโรคผิวหนังชนิดเรื้อรัง ไม่ใช่โรคติดต่อ ไม่ถึงกับร้ายแรงจนทำให้เกิดอันตรายต่อระบบภายในของร่างกาย แต่ก็ทำให้รำคาญ และเป็นอุปสรรคต่อความงามบนใบหน้า เซ็บเดิร์ม อาจเรียกได้ว่าเป็นโรคหน้าลอก หรือโรคผื่นอักเสบ ซึ่งจะมีลักษณะเป็นผื่นที่ผิวหนัง คล้ายโรคสะเก็ดเงิน มักจะมีการอักเสบเป็นบางจุด เช่น ศีรษะ ไรผม บริเวณจอนผม หลังหู ระหว่างคิ้ว ซอกจมูก มุมปาก แก้ม โดยจะเห็นเป็นผื่นแดง แสบ คัน (หรือไม่คันก็ได้) เป็นขุยขาวๆ (คล้ายรังแค) ผิวแห้งตึง ลอก อาจมีภาวะการเกิดสิวร่วมด้วย

    รีวิว ตัวอย่างการเป็นเซ็บเดิร์ม http://chinachinychin.blogspot.com/2013/07/blog-post_22.html

    ความรู้เรื่องเซ็บเดิร์ม


    การดูแลรักษา
    - รักษาด้วยการใช้ยาทา ยาที่ไม่มีสเตียรอยด์ เช่น Physiogel AI Cream (ราคา 700 - 900 บาท ซื้อได้ตามร้านขายยา)หากเป็นขั้นรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์

    รีวิวการใช้ยา Physiogel AI Cream รักษาเซ็บเดิร์ม http://pantip.com/topic/30925841
    รีวิวการใช้ยาสำหรับ เซ็บเดิร์ม http://topicstock.pantip.com/woman/topicstock/2011/01/Q10131832/Q10131832.html

    - เวลาผิวแห้ง ให้ทามอยเจอร์ไรเซอร์ เพื่อให้เกิดความชุ่มชื้น
    - หากเกิดอาการคัน หรือแสบร้อน สามารถใช้ประคบเย็น ด้วยถุงเจลเย็น เพื่อลดอาการแสบร้อน
    - ห้ามล้างหน้าบ่อย ล้างด้วยน้ำอุ่น ไม่ควรใช้โทนเนอร์ โลชั่นทำความสะอาด หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
    - ไม่เกา หรือแกะผิวหนังที่ลอก
    - ไม่ใช้ยา หรือผลิตภัณฑ์ที่มีสารสเตียรอยด์
    - ไม่อยู่ในที่มีอากาศร้อน หรือในห้องแอร์ที่อากาศแห้งๆ
    - ไม่ใช้ครีมบำรุงหน้าพวกครีมหน้าขาว ลบรอยดำ และยังไม่ควรแต่งหน้า จนกว่าหน้าจะหายดี
    - ไม่ควรขัดหน้า หรือใช้สครับขัดหน้า
    - ไม่กินของมัน ของทอด ของหวาน ขนมปัง
    - ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ กินอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มที่ร้อน
    - ไม่ควรทำสีผม ใช้น้ำยาย้อมผม ยืดผม
    - ไม่เลเซอร์หน้าขาว หรือเลเซอร์หลุมสิว
    - ควรทำจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียด นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ เพราะจะทำให้ภูมิต้านทานไม่ดี
    - บางคนอาจกินอาหารทะเล และของดอง แล้วทำให้อาการกำเริบ


    3. การแพ้เหงื่อ ทางผิวหนัง
    เหงื่อ ทำหน้าที่รักษาอุณภูมิของร่างกายให้คงที่ ทั้งความร้อนจากภายในและภายนอกร่างกาย เหงื่อจึงเป็นการช่วยระบายความร้อนจากภายในออกไป
    เมื่อ ร่างกายขับเหงื่อออกมาจากผิวหนัง จะไม่สามารถดูดน้ำ (เหงื่อ) กลับเข้าสู่ร่างกายได้ ต้องระเหยออกไป หากคนที่มีผิวหนังอักเสบอยู่ เช่นสะเก็ดเงิน เซ็บเดิร์ม โรคภูมิแพ้ผิวหนัง เหงื่อก็อาจทำให้แผลบริเวณที่อักเสบนั้นเกิดความเสียหาย เพราะแผลตรงนั้นโดนเหงื่อ แล้วเปื่อย ทำให้รักษายากขึ้น โรคแย่ลง คนที่เป็นโรคบางอย่างอยู่ เช่นคนที่เป็นสิวสเตียรอยด์ ควรงดการออกกำลังกายที่ทำให้เสียเหงื่อ การทำซาวน่า อยู่หน้าเตาทำอาหาร อยู่ในที่ที่ทำให้เหงื่อออกง่าย อยู่ในที่มีฝุ่นเยอะ

    วิธีการรักษา
    - งดทำกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกง่าย
    - หากมีเหงื่อแล้ว ควรชำระล้างอย่างรวดเร็ว

แบ่งปันหน้านี้